ประวัติย่อของท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล )
ท่านนบีมูฮัมหมัด ( ซ.ล ) ท่านเป็นชาวอาหรับ ดินแดนที่ชาวอาหรับอาศัยอยู่ เรียกว่า คราบสมุทรอาหรับ ภายในคราบสมุทรอาหรับ มีเมืองที่สำคัญเกียวกับชีวประวัติย่อของท่านอยู่สองเมือง คือ มักกะฮ์ กับมาดีนะฮ์ มาดีนะเป็นเมืองที่พระองค์ ทรงอพยพลี้ภัยไปพำนักอยู่ ณ ที่นั้น ซึ่งเป็นเมือง ที่พระองค์ทรงใช้ชีวิตบั้นปลายของพระองค์ในการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม และพระองค์ก็สรงสวรรคตในนครมาดีนะฮ์ นครมาดีนะฮ์จึงเป็นที่ฝังศพของพระองค์ ก่อนที่ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) จะได้ปฏิสนธิมาสู่โลกนี้นั้น พระองค์ต้องกำพร้าบิดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาได้เพียงสองเดือน
เมื่อ ค.ศ. 570เป็นปีที่ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) ได้ประศูติ ณ นครมักกะฮ์ ตรงกับวันจันทร์ที่ 12 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ท่าถือกำเนิดมาในตระกูลกุรอยซ์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ทีเกียรติสูงในชนชาติอาหรับ เมื่อพระองค์ทรงประสูตออกมาจากครรภ์ของมารดา ( พระนางอามีนะฮ์ ) มีศุภนิมิตรเกิดขึ่นมากมาย อาทิ พระวรกายมีรัศมีสว่างไสว ประสาทเจ้าเมืองกิซรอพังทะลาย ไฟที่เจ้าเมืองฟาริซี จุดไว้เพื่อกราบไหว้ก็ดับหมด พระวรกายสะอาด และมีกลิ่นหอม สายสะดือเป็นมาในสภาพเรียบร้อย เมือพระองค์ทรงคลอดออกมาจากครรภ์ของมารดา ได้เพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ พระองค์ก็ต้องพรากจากอ้อมอกของมารดาผู้บังเกิดเกล้า ไปอยู่กับแม่นม ซึ่งมีนามว่า ฮ่าลีม่าตุซซะอ์ดียะห์ ซึ่งเป็นคนชานนคร ตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งนี้เป็นเพราะประเพณีดั้งเดิมของชาวอาหรับ เมท่อต้องการให้บุตรของตนเติบโตขึ้นท่มกลางธรรมชาติบริสุทธ์ ที่แวดล้อมไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร และดื่มด่ำวัฒนธรรมของชาวอาหรับที่เท้จริง ก็จะส่งบุตรน้อยของตนให้ไปอยู่กับแม่นมในเขตชานพระนคร
เมื่ออายุของพระองค์ได้สองขวบ แม่นมที่มีนามว่า ฮ่าลีม่าตุซซะอ์ดียะห์ ก็ได้พามาพบกับมารดาและปู่ ณ ที่บ้านเกิดของพระองค์ และแล้วแม่นมก็รับกลับไปอยู่ในอุปการะของตนอีกต่อมาจนอายุได้ 4 ขวบ อัลลอฮฺ ( ซ.บ ) เจ้าได้ให้ม่าลาอิกะห์ทำการผ่าท้องท่านนบี มูฮำหมัด ( ซ.ล ) เพื่อเอากิเลสหยาบ และสิ่งอันไม่สู้จะดีที่สามันชนธรรมดาต้องมีทุกคนนั้น ม่าลาอิกะห์ก็ได้เอาออกจนหมดสิ้น และประทับตราความเป็นนบีให้พระองค์ตั้งแต่บัตรนั้นเป็นต้นมา พระองค์ได้มีโอกาสกลับคืนมาอยู่ในอ้อมอกของมารดาอีกชั่วระยะหนึ่งเพียงสองปี มารดาก็วายชนม์จากพระองค์ไปอีกท่านหนึ่ง พระองค์ต้องถูกพรากจากอ้อมอกของมารดา ตกอยู่ในฐานะเด็กกำพร้าทั้งบิดาและมารดาตั้งแต่อายุได่หกขวบ เมื่อพระองค์ต้องสูญเสียทั้งบิดามารดาแล้ว ท่านอับดุลมุตตอเล็บ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ก็รับเอาพระองค์ไปอยู่ในอุปการะตลอดมาชั่วระยะเวลาอีกสองปี เมื่ออายุของพระองค์ได้แปดขวบ ท่านอับดุลมุตตอเล็บก็ถึงอายั้ลของอัลลอฮฺอีกคนหนึ่ง
แค่ก่อนที่ท่านอับดุลมุตตอเล็บ จะถึงอายั้ลของอัลลอฮฺ ท่านได้เรียกอะบูตอเล็บไปหา และมอบเด็กน้อยนบีมูฮำหมัด ไว้ในการดูแลของอะบูตอเล็บได้รับคำสั่งมอบหมายจากอับดุลมุตตอเล็บแล้ว อะบูตอเล็บซึ่งเป็นลุงของท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล) ก็ได้รับเอาไปอยู่ในอุปการะของตน ซึ่งอะบูตอเล็บมีฐานะค่อนข้างยากจาตลอดเวลาที่ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) ได้อยู่ในอุปการะของท่านอะบูตอเล็บท่านก็ช่วยอะบูตอเล็บประกอบภาระกิจมิได้ว่างเว้น ด้วยมารายาทอันอ่อนโยนละมุนละไม อ่อนน้อมถ่อมตน มีระเบียบ อารีอารอบกับผู้พบเห็น เพื่อนฝูงและพี่น้อง พร้อมทั้งฉลาดในขณะที่ยังเยาว์วัย จึงเป็นที่รักยิ่งของท่านอะบูตอเล็บ
เมื่ออายุ 12 ขวบ ท่านได้เดินทางติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศ ( ซีเรีย ) โดยปกติแล้ว ท่านนบีมูอำหมัด ( ซ.ล ) เป็นผู้มีมารายาทอ่อนโยน โอบอ้อมอารี มีระเบียบ และรักเด็กข้อสำคัญที่สุด คือ เป็นคนซื่อสัตย์ จนกระทั่งได้สมญานามว่า “อัลอามีน” หมายถึง ผู้ซื่อสัตย์ เที่ยงธรรมและไว้วางใจได้ ท่านช่วยลุงทำมาหากินด้วยความขยันและอดทน เพื่อแบ่งเบาภาระของลุงให้น้อยลง ท่านเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมต่าง ๆ จึงเป็นที่รักของลุง เวลาที่ลุงจะไปไหนก็พาไปด้วย จนกระทั่งอายุของท่านได้ 20 ปี การที่ท่านได้มีโอกาสเดินทางไปค้าขายต่างแดนกับลุงบ่ายครั้ง ทำให้ท่านกลายเป็นผู้ที่มีสันทัดจัดเจน มีความชำนิชำนาญในการค้าขายเป็นอย่างดี
เมื่ออายุ 20 ปี กิตติศัพท์แห่งคุณธรรม และความสามารถดังกล่าวของท่าน พระนางคอดียะห์จึงเวิญให้ท่านเป็นผู้จัดการในการค้าของนาง โดยให้ท่านนำสินค้าไปขายที่ประเทษซีเรียในฐานะหัวหน้ากลองคาราวาน ปรากฎผลว่าการค้าดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และได้กำไรเกินความคาดหมาย จึงทำให้พระนางคอดียะห์เศรษฐีนัวัย 40 ปี พอใจในความสามารถ และความซื่อสัตย์ของท่านเป็นอย่างมาก
เมื่ออายุ 25 ปี ท่านก็ได้แต่งงานกับเศรษฐีนีหม้าย สิ่งแรงที่ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) ได้กระทำภายหลังการสมรสได้ไม่กี่วัน คือ การปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระ ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครเคยคดิว่าจะมีผู้ใดทำได้ เพราะในอารเบียเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย มีแต่การรีดนาทาเร้น การทารุณกรรมต่างๆ แม้กระทั่งบุตรของตนเอง ถ้าไม่ชอบใจก็เอาไปเผาทั้งเป็น หรือฝังเสียทั้งเป็น ประชาชนในยุคนั้น มัวเมาต่อกิเลส หลงใหลต่อตัณหาราคะ บ้าคลั้งต่อกามารมณ์ เชื่อถือศรัทธาต่อการสักการะในสิ่งต่างๆ
ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) เศร้าใจในสภาพสังคมเป็นอย่างมาก ปกติท่านเป็นคนช่างคิดและมองการไกล จึงปลีกตนไปถ้ำฮิรออฺบ่อยครั้ง
เมื่ออายุ 30 ปี ท่านได้ร่วมเป็นหัวหน้าสหพันธ์ฟุดุ้ล คือ เป็นองค์การสาธารณภัยชุมชน เพราะในสมัยนั้นเต็นไปด้วยความเลวร้าย มีการปล้น แย่งชิง ฉุดฆ่าและอนาจาร ซึ่งฝ่ายปกครองไม่สามารถจะปราบปรามให้เรียบร้อยได้ จึงได้มีองค์กรนี้ขึ้น เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่าน ก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ 35 ปี ได่เกิดมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอ์บะห์ ในการที่จะนำเอาฮ่าย่าร้อลอัสวัส ( หินดำ ) ไปวางไว้สถานที่เดิมอันเป็นสาเหตุทำให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ ซึ่งต่านก็จะเป็นผู้นำเอาหินดำไปวางไว้ที่เดิม หลังจากการถกเถียงแล้วหัวหน้าเผ่าต่างๆ ก็มีมติว่า ถ้าใครเป็นคนแรก ที่ผ่านเข้ามาในมัสยิดทาง “ประตูบ้านีซัยบะห์” จะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งปรากฏว่าท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) เป็คคนเดินเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชี้ขาด แต่แล้วท่านแก้ไขให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสยกหินดำนั้นร่วมกันเพื่อเป็นการประนีประนอมกันด้วย โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลงแล้วท่านก็ยกหินดำลงไปวางบนผ้า ให้หัวหน้าเผ่าต่างๆ จับชายผ้าทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อมๆกัน เอาไปไกลๆที่สถิตย์หินดำนั้น เสร็จแล้วท่านก็เป็ยผู้นำเอาหินดำไปสถิตไว้ ณ ที่เดิม ทั้งนี้ก็ด้วยเชาว์ปฏิภาณอันเฉียบแหลมของท่านทั้งๆที่ท่านอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ และไม่เคยศึกษาจากสถานที่ใด
เมื่ออายุ 40 ปี ท่านได้รับว่าฮี โดยในตอนแรกได้รับในรูปของความฝันที่เป็นจริง คือ ไม่ว่าท่านจะฝันสิ่งใดในขณะหลับ ท่านก็จะพบว่ามันเป็นความจริงขณะท่านตื่น หลังจากนั้นท่านได้รับโองการจากพระผู้เป็นเจ้าในถ้ำฮิรออ์ ซึ่งอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่ง โดยท่านยิบรีลเป็นผู้นำมาบอกเป็นครั้งแรก เรียกร้องให้ท่านเป็นผู้ปฏิรูปสังคม และประกาศให้ประชาชน นับถือพระเจ้าองค์เดียวท่านจึงเผยแพร่ศาสนา แก่วงศ์ญาติและเพื่อนใกล้ชิดเป็นการภายในก่อน ต่อมาท่านได้รับโองการจากพระเจ้าให้ทำการเผยแพร่ศาสนา และพวกนับถือเทวรูปและสิ่งต่างๆ ก็พากันโกรธแค้นตั้งตนเป็นศัตรูอย่างรุนแรง ถึงกับวางแผนฆ่าและทำลายท่านแต่ก็ไม่สำเร็จ ท่านก็หาหยุดการเผยแพร่ศาสนาคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าไม่ เมื่อพวกศัตรูหาทางทำลายด้วยวิธีการรุนแรงไม่สำเร็จจึงส่งตัวแทนเข้ามาเจรจากับอะบูตอเล็บ ให้ขอร้องท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) อะบูตอเล็บก็ได้เจรจาตามคำขอ ท่านนบีมูฮำหมัดตอบว่าเรื่องนี้หลานยอมไม่ได้จนกว่า พี่น้องร่วมชาติของหลานจะเลิกนับถือสิ่งอื่นๆแล้ว กลับมานับถืออัลลอฮฺองค์เดียว หรือไม่จนกว่าชีวิตของหลานจะ สิ้นสลายไป
เมื่อตัวแทนได้รับคำปฏิเสธ ก็กลับไปรายงานให้พรรคพวกของตนทราบ แต่ต่อมาพวกนั้นก็ส่งหัวหน้ามาเจรจาอีกซึ่งก็ได้รับดำปฏิเสธเช่นเดีม พวกศัตรูของท่านจึงคุกคามอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จนในที่สุดท่านจึงต้องอพยพไปอยู่ที่นครม่าดีนะฮ์ ตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อวันจันทร์ที่ 12 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล การอพยพนี้เรียกว่า ฮิจเราะห์ ซึ่งศักราชของอิสลามก็เริมขึ้นตั้งแต่ปีนั้น
แม้ว่าท่านจะลี้ภัยไปอยู่ที่ม่าดีนะฮ์แล้ว ท่านก็ถูกศัตรูจากมักกะฮ์ยกพลมาโจมตีท่าน ทำให้ท่านต้องออกสัสึกถึง 3ครั้ง ฝ่ายศัตรูก็ยังเอาชนะท่านไม่ได้ ถึงได้มีการทำสัญญาสงบศึกกัน ต่อมาศัตรูของท่านได้ละเมิดสัญญาสงบศึก ยกพลมาโจมตีท่าน ท่านจึงนำทหารเข้าต่อสู้จนได้รับชัยชนะ สามารถยึดเมืองมักกะฮ์ได้ ท่านจึงประกาศนิรโทษกรรมให้ชาวมักกะฮ์ เป็นผลให้ชาวมักกะฮ์ซาบซึ้งในตัวท่าน และต่างพากันหลั่งไหลเข้านับถือศาสนาอิสลาม ท่านได้ลงมือปฏิรูปสังคมให้กลับสู่ความเที่ยงธรรมแอละความสงบสุข
ท่านนบีมูฮำหมัด ( ซ.ล ) ได้สิ้นชีวิตที่เมืองม่าดีนะฮ์ เมื่อวันจันทร์ที่ 12 เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล ฮิจเราะห์ที่ 10 รวมอายุได้ 63 ปี
วงค์ตระกูลฝ่ายบิดาของพระองค์มีดังนี้
นบีมูฮำหมัด บุตรของ อับดุลลอฮฺ บุตรของ อับดิลมุตตอเล็บ บุตรของ ฮาชิม บุตรของ
อับดิลม่านาฟ บุตรของกุซอยฟฺ บุตรของ ฮากีม
วงค์ตระกูลฝ่ายมารดาของพระองค์มีดังนี้
นบีมูฮำหมัด บุตรของ พระนางอามีนะฮ์ บุตรสาวของ วะฮฺบี้ บุตรของ อับดิลม่านาฟ บุตรของ ซะเราะฮ์ บุตรของ ฮากีม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น